สมบูรณาญาสิทธิราชย์ คือการปกครองในรูปแบบใด ?
คือ ระบอบการปกครองประเทศรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมีกษัตริย์เป็นผู้ปกครอง กษัตริย์มีสิทธิ์ในการบริหารประเทศ สำหรับระบอบการปกครองนี้ กษัตริย์เป็นทุกๆ อย่างของประเทศ โดยเฉพาะกฎหมาย กฎหมายอยู่ที่กษัตริย์, คำสั่งรวมทั้งความต้องการต่างๆ ล้วนมีผลเป็นกฎหมายทั้งสิ้น
กษัตริย์มีอำนาจปกครองแผ่นดินอย่างอิสรเสรี โดยปราศจากกฎหมายหรือองค์กรตามกฎหมายใดๆ ที่จะสามารถห้ามปรามได้ หากแต่องค์กรทางศาสนา อาจออกเสียงทักท้วงจากการกระทำบางอย่างได้บ้าง นอกจากกษัตริย์ จะถูกคาดหวังว่าจะปฏิบัติตามธรรมเนียมตามโบราณกาล หากแต่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ปราศจากรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายใดๆ จะอยู่เหนือกว่ากษัตริย์ได้
สำหรับในเรื่องของทฤษฎีกล่าวว่า กษัตริย์มีอำนาจเหนือประชาชน บางครั้งก็เหนือกว่าศาสนาด้วย ส่วนในทางปฏิบัติจริง กษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จะถูกจำกัดอำนาจบ้างจากกลุ่มดังกล่าว ยกตัวอย่าง กษัตริย์บางพระองค์ เช่น จักรวรรดิเยอรมนีในปี ค.ศ. 1871-1918 ประกอบด้วยรัฐสภาที่ปราศจากอำนาจ เหมือนกับตั้งขึ้นมาเฉยๆ หาแต่กษัตริย์สามารถแก้ไขได้ตามต้องการ ถึงแม้จะกล่าวว่านี่คือ ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หากแต่โดยทางเทคนิคแล้ว นี่คือการปกครองระบอบราชาธิปไตยที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ เพราะการมีอยู่ของรัฐธรรมนูญรวมทั้งกฎหมายพื้นฐานของประเทศ สำหรับประเทศที่ใช้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งยังดำรงอยู่ ณ ปัจจุบัน ยกตัวอย่าง เช่น… สวาซิแลนด์, ซาอุดิอาระเบีย, บรูไน, โอมาน เป็นต้น
ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของประเทศไทย มีมาตั้งแต่โบราณกาล
ประเทศไทยของเรา ก็เคยปกครองด้วยระบอบพระมหากษัตริย์มาก่อน โดยเป็นไปตามทฤษฎีพระมหากษัตริย์มีอำนาจเต็มขั้นเด็ดขาดในการปกครองแผ่นดิน ในทัศนะของ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเข้าใจว่าระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของไทยประเทศ ไม่ได้เป็นระบอบ ซึ่งมีมาแต่สมัยโบราณกาล หากแต่พึ่งมีมาในสมัยรัชกาลที่ 5 นี่เอง เพราะในรัชกาลนี้ พระองค์ทรงควบอำนาจจากบรรดาขุนนาง, ข้าราชการ ที่เคยเข้ามามีอำนาจและบทบาทเป็นอย่างสูงในก่อนหน้านั้น มาไว้ ณ ศูนย์กลางการปกครอง คือ ตัวพระองค์เอง รวมด้วยพระประยูรญาติ จึงทำให้พระมหากษัตริย์ทรงเป็นทั้งสถานะประมุขของรัฐควบด้วยตำแหน่งฝ่ายบริหารเท่ากัน การอ้างอิงจากตรงนี้ ปรากฏให้เห็นว่าระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของประเทศไทยนั้น มีเพียง 3 รัชกาลเท่านั้นเอง คือ รัชกาลที่ 5, รัชกาลที่ 6 และรัชกาลที่ 7
สำหรับวิธีที่จะพิจารณาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้น ห้ามข้ามขั้นตอนในการวิเคราะห์ – ศึกษาสถาบันพระมหากษัตริย์ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านพระราชกรณียกิจ ที่ได้ทรงประกอบกิจการต่างๆ เพื่อประเทศชาติ รวมทั้งประชาชน หรือในเรื่องแนวความคิดทางการเมืองและการปกครอง โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของ พระราชอาณาจักร โดยการศึกษาประวัติศาสตร์ จะทำให้คนรุ่นใหม่ในรุ่นหลังได้ทราบประวัติความเป็นมา รวมทั้งความเป็นไปของสถาบันได้ดีขึ้น